วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จัสมินไรซ์: การผจญภัยของข้าวหอมมะลิไทยในสหรัฐอเมริกา เรื่อง อวยพร แต้ชูตระกูล

 ข้าว แม่โพสพ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

       ข้าว ที่เราเราทราบกันว่า เป็นแม่โพสพ เป็นของมีคุณ เป็นพืชที่เลี้ยงชีวิตเผ่าพันธุ์ไทยยั่งยืนมาแต่โบราณกาลจนสืบเชื้อสายอยู่ มากมายในปัจจุบัน เมื่อใดที่อยู่ในสภาพ "ข้าวเหลือเกลืออิ่ม" ประชาชนก็จะมีความสงบสุข แต่เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนก็จะหน้าดำคร่ำเครียดด้วยความทุกข์ ในเมื่อข้าวมีความสำคัญต่อชีวิตคนไทย คนไทยจึงมีความกตัญญูต่อข้าว ยกย่องข้าวเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าในข้าวมีวิญญาณ ข้าวเรียกว่า "แม่โพสพ" สถิตอยู่ 

     ฉะนั้นผู้เฒ่าผู้แก่จึงสั่งสอนว่ามิให้เหยียบย่ำข้าว มิให้สาดข้าวหรือทำข้าวหก กินข้าวเสร็จแล้วก็สอนให้ไหว้แม่โพสพขอบคุณ แม้การมหรสพของชาวบ้านยามเมื่อร้องบทไหว้ครูก็จะมีการร้องระลึกคุณแม่โพสพ  ข้าวหอมมะลิ แม่โพสพของเรา เนื้อตัวสวย กลิ่นกายหอม ได้ไปปรากฏกายให้ชาวต่างชาติดูความงาม เห็นแล้วต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ แสดงความเห็นแก่ตัว  กักขังไว้ไม่ให้กลับไทย เพื่อทำหน้าที่ของแม่ที่จะเลี้ยงลูกทั้งโลก เราจะช่วยแม่กลับบ้านอย่างไร  คุณอวยพร แต้ชูตระกูล  เขียนไว้ อ่านจบแล้วส่งสารแม่จับใจครับ  แม่รู้ไหมว่า ลูกๆ ของแม่มัวทะเลาะกัน จะช่วยแม่อย่างไร

จัสมินไรซ์: การผจญภัยของข้าวหอมมะลิไทยในสหรัฐอเมริกา


เรื่องโดย อวยพร แต้ชูตระกูล


       เรื่องราวการผจญภัยของข้าวหอมมะลิไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นตำนานที่บทอวสารไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับท่านผู้ชมคนไทยแม้แต่ น้อย
       ปี 2541 คนไทยต้องตกตะลึงกันทั่วหน้า เมื่อรู้ว่า “จัสมาติ” ไม่ได้หมายถึง “ข้าวหอมมะลิของไทย” แต่หมายถึงข้าวสายพันธุ์อื่นที่ปลูกในรัฐเท็กซัส โดยบริษัทไรซ์เทคแห่งสหรัฐอเมริกาได้จดชื่อดังกล่าวเป็นเครื่องหมายทางการ ค้า นำมาซึ่งความเคลื่อนไหวขององค์กรความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาไทย หรือไบโอไทย ที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด โดยระบุว่า การใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าว่า จัสมาติ เป็นความจงใจที่ต้องการหลอกลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า ข้าวพันธุ์ดังกล่าวเป็นข้าวหอมมะลิ (Jasmine) ซึ่งประเทศไทยมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกว่า ข้าวหอมมะลิไทยเป็นข้าวพันธุ์ดีที่สุดในโลก และครองตลชาดสหรัฐอเมริกาได้ถึงร้อยละ 75 ของข้าวที่นำเข้าทั้งหมด
       แต่สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ของไทยดำเนินก็คือ หันไปจดชื่อเครื่องหมายทางการค้า “หอมมะลิไรซ์” แทน โดยอ้างว่าหากดำเนินการฟ้องร้องต่อบริษัทไรซ์เทค ก็ไม่มีทางที่จะชนะ อีกทั้งยังต้องเสียค่าใช้จ่ายถึง 20 ล้านบาท
       ต่อมาปี 2544 ข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ก็สร้างความตื่นตระหนกให้เกษตรกรไทยอีกครั้ง เมื่อรายงานข่าวว่า นักปรับปรุงพันธุ์ข้าวชาวอเมริกันชื่อ ดร.คริส เดเรน ใกล้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิที่ปลูกในสหรัฐอเมริกา ได้ หลังจากที่เริ่มวิจัยมากว่า 5 ปี ด้วยวิธีการทำให้ยีนของข้าวหอมมะลิกลายพันธุ์ และการผสมข้ามพันธุ์ ทำให้กลายเป็นข้าวลำต้นเตี้ย ตั้งท้องและออกรวงเร็วกว่าข้าวหอมมะลิเดิม
       การถอนเครื่องหมายทางการค้าจึงกลายเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของเกษตรกรไทย ที่มีต่อสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับการเรียกร้องให้ยุติความพยายามในการจดสิทธิบัตรในพันธุ์ข้าวและ พันธุ์พืชจากประเทศโลกที่สาม ภายหลังจากทราบแหล่งที่มาของเมล็ดพันธุ์ข้าวต้นกำเนิดว่ามาจากจากสถาบัน วิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Institute: IRRI) ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศไทยได้ส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวขาวหอมมะลิไปเก็บไว้เป็นตัวอย่างที่ 850 ซึ่ง ดร.เจ นีล รัตเกอร์ ได้นำเมล็ดพันธุ์ข้าวดังกล่าวไปจาก IRRI โดยมี ดร.คริส เดเรน เป็นผู้นำเมล็ดพันธุ์ไปอีกทอดหนึ่ง ทั้งนี้ไม่มีการลงนามในเอกสารส่งมอบพันธุ์ข้าวแต่อย่างใด
       แม้จะปรากฏความพยายามจากกระทรวงพาณิชย์ของไทยในการร่างเอกสารส่งมอบ พันธุ์ข้าว พร้อมระบุว่าห้ามจดสิทธิบัตรพันธุ์ข้าวไทย และห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อให้ ดร.คริส เดเรน ร่วมลงนาม แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ

       บทเรียนนี้น่าคิดถึงท่าทีและความกระตือรือร้นของประเทศมหามิตรอย่างสหรัฐ อเมริกาที่มีต่อข้อเรียกร้องเพื่อขอความร่วมมือจากประเทศไทยตลอดระยะเวลา หลายปีเพื่อปกป้องข้าวหอมมะลิของไทย ซึ่งแน่นอนว่าหากนำไปเปรียบเทียบกับความพยายามกดดันให้ประเทศไทยทำตามข้อ เรียกร้องของสหรัฐอเมริกาในการไล่ล่าจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ก็คงจะได้คำตอบแห่งความไม่เท่าเทียมกันอย่างสิ้นเชิง
*******
ที่มา นิตยสารโลกสีเขียว ฉบับพฤษภาคม – มิถุนายน 2547 
http://www.greenworld.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปีใหม่ มีใจก็มีเวลา

ปีใหม่ มีใจก็มีเวลา 
โดย ดร   


       คนสมัยนี้มักบ่นว่าไม่มีเวลา แต่ที่จริง คนสมัยไหนก็บ่นเหมือนกันว่าไม่มีเวลา แปลว่ามีเวลาเท่าไรไม่ได้อยู่ที่ยุ่งมากแค่ไหน มีอะไรทำมากมายแค่ไหน แต่อยู่ที่การจัดการเวลามากกว่ากระมัง

       ปี ใหม่นี้มีเวลา 365 วันเหมือนกับปีที่แล้ว วันหนึ่งก็มี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แล้วทำไมบางคนจึงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพประหนึ่งว่ามีเวลามากกว่าคนอื่น ทำไมบางคนจึงทำงานไม่เสร็จ แม้จะทำวันละมากกว่า 10 ชั่วโมง หอบไปทำที่บ้านจนดึกดื่นเที่ยงคืนก็ยังไม่เสร็จ
        บาง คนทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่ก็ทำได้ดีไม่น้อยกว่าหรืออาจดีกว่าคนที่ทำวันละ 16 ชั่วโมง ประเด็นจึงไม่ใช่ปริมาณของเวลาที่ใช้ทำงานอย่างเดียว คงเป็นเรื่องของการจัดการเวลามากกว่า
        การ จัดการเวลา คือ การจัดการชีวิต ถ้าจัดการเป็น ชีวิตลงตัว สมดุล งานก็มีประสิทธิภาพ คนก็ไม่เครียด ไม่ป่วย อยู่ดีมีสุข ไม่ต้องทุกข์ทรมานอดตาหลับขับตานอน กินไม่เป็นเวลา นอนไม่เป็นเวลา แทนที่จะได้นอนวันละ 7-8 ชั่วโมงก็นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง
        จริง อยู่ ถ้านอนอย่างมีคุณภาพ หลับสนิทจริง นอนสัก 4-5 ชั่วโมงดีกว่านอน 7-8 ชั่วโมงแบบหลับไม่สนิท แต่ถ้าทำงานหนักทั้งวัน แล้วนอนเพียง 4-5 ชั่วโมง นอนกับความเครียด ความห่วงงาน แน่ใจได้อย่างไรว่าจะหลับลึกจริง ไม่ใช่หลับไปแล้วฝันร้าย
       หลาย คนงัวเงียตื่นขึ้นมาทำงาน สติสมาธิไม่ดี การทำงานมีปัญหา อาจเกิดอุบัตเหตุในที่ทำงาน ขับรถไปอาจหลับใน ทำงานผิดพลาด อย่างตอนน้ำท่วมที่ผู้ว่ากทม.ประกาศให้คนในเขตปทุมวันอพยพ ทำเอาโกลาหลไปทั้งเขต สองชั่วโมงให้หลังกลับมาประกาศขอโทษว่าบอกผิดไปเพราะมึน (นอนไม่พอ)
       ที่ ร้ายแรงกว่านี้ก็มี เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนน ความผิดพลาดของบางอาชีพอย่างแพทย์ที่นอนไม่พอ ทำงานหนัก เครียดจนให้ยาผิด ผ่าตัดผิด และรักษาผิดพลาดจนคนไข้ตายก็มี
        หลายคนอ้างว่า ต้องทำงานแข่งกับเวลา ต้องฉวยโอกาส ต่อไปอาจไม่มีโอกาสแบบนี้อีก เลยทำงานวันละ 18 ชั่วโมง ได้นอนจริงๆ แค่ 3-4 ชั่วโมง และไม่ได้นอนตติดต่อกันทีเดียวก็มี นอนครั้งละ 1-2 ชั่วโมงแบบสะสม อย่างผู้ประกาศข่าวดังๆ ทางทีวีบางคน

       อาจ เป็นได้ที่บางกรณีอาจไม่มีโอกาสอีก แต่ร่างกายของคนเราก็มีขีดจำกัด ต้องการพักผ่อน ต้องการการกินพอดีอยู่พอดี มากไปน้อยไปก็มีปัญหา แน่ใจได้อย่างไรว่า ถ้ารีบเร่งทำทุกอย่างแบบฉวยโอกาสที่อาจไม่มีอีกในอนาคต แล้วจะมีอนาคตให้ได้ใช้ชีวิตอยู่อีกหรือ

       อาจเจ็บป่วยตายเสียก่อน เพราะหักโหมจนร่างกายรับไม่ได้ ประท้วงหรือขบถ ไม่ยอมไม่เอาด้วยอีกต่อไป ขอพัก ขอล้มหมอนนอนเสื่อนั่นเอง และโชคร้ายอาจจะได้นั่งได้นอนยาว ทำงานหนักได้เงินมากมาย จะ “ซื้อ” สุขภาพกลับคืนมาได้หรือ
        บาง คนรีบเร่งทำงานมาก ทำหลายอย่างเพื่อหาเงิน ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ให้ลูกให้ภรรยา ให้สามี จนเกิดปัญหา อาจจะร้ายแรงจนยากจะเยียวยาแก้ไข คนที่เอาแต่ทำงานหาเงิน เลี้ยงลูกด้วยเงิน วันหนึ่งถ้าเกิดลูกติดยา จะเอาเงินที่หาได้ “ซื้อ” ลูกกลับคืนมาได้หรือ
         การ ที่หลายคนชอบบ่นว่าไม่มีเวลานั้น แท้ที่จริงอาจเป็นเพราะจัดการชีวิตไม่เป็น ไม่ลงตัวมากกว่า จัดลำดับความสำคัญไม่ถูก เรียงความสำคัญก่อนหลังไม่ได้แบบคนที่นับหนึ่งถึงสิบไม่เป็น  ถ้านับเป็นและเรียนรู้การจัดการตัวเลข ก็จะบวกลบคูณหารได้
         ชีวิตก็คงเป็นเช่นนั้น เราสามารถจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ ตามลำดับคุณค่าที่เราให้กับสิ่งนั้นๆ
        ทำไม เราจึงมีเวลาเสมอสำหรับคนที่เรารัก สิ่งที่เรารัก  ตอนรักกันใหม่ๆ โทรศัพท์ถึงกันวันละหลายสิบครั้ง ทำอย่างไรจึงจะมีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตอื่นๆ เช่น ทำอย่างไรจึงจะนอนให้พอกับความต้องการของร่างกาย ถ้าเรารักตัวเองอย่างถูกต้อง รักสุขภาพ เราก็ยกเอาเรื่องการนอนให้พอมาไว้อันดับต้นๆ ไม่ใช่เอาไว้ทีหลังเรื่องอื่นๆ ทำงานดึกดื่นแล้วถึงไปนอนไม่กี่ชั่วโมง
        หลาย คนบอกว่าไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะงานมาก ถ้าหากเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย ก็จะหาเวลาได้เสมอ เพราะรู้ว่าจะทำให้สุขภาพดี และเมื่อแข็งแรงก็จะทำงานได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอนหลับดี มีสมาธิในการทำงาน ทำงานเพียง 7-8 ชั่วโมงอาจจะดีกว่าคนที่ทำงาน 15 ชั่วโมง
        คน รักสุขภาพ เห็นความสำคัญของการออกกำลังกายอาจมีอาชีพที่ทำให้หาเวลาออกกำลังกายแบบคน ทั่วไปไม่ค่อยได้ เช่น ไม่มีเวลาหรือสถานที่ให้ไปเดินหรือไปวิ่ง ก็อาจจะต้องฝึกการออกกำลังกายในร่มเช่น การรำมวยจีน การทำโยคะ หรือสะสมการเดินแทนการใช้รถ ขึ้นบันใดแทนการใช้ลิฟท์ ไปสนามบินสุวรรณภูมิ ถ้ามีเวลายังเดินได้หลายกิโลเมตรก่อนขึ้นเครื่องเพราะมีทางเดินยาวเหยียด
         ถ้า จัดการเวลาเป็น มีเวลาเสมอสำหรับสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าสำหรับชีวิต มีใจให้กับอะไร เราก็จะมีเวลาให้กับสิ่งนั้น ถ้าไม่มีใจให้เราก็จะทำแบบฝืนใจ ทำเพราะถูกบังคับ เครียด และเป็นทุกข์
        คง ต้องทำให้ได้อย่างที่ปราชญ์เขาบอกว่า คนเก่งไม่ใช่คนที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ แต่ชอบสิ่งที่ตนเองทำมากกว่า เพราะถ้าชอบ หรือมีใจ ก็จะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอ

       ปี ใหม่นี้เป็นโอกาสดีให้ได้ตั้งหลัก ตั้งใจจัดการชีวิตให้ลงตัวมากกว่าปีที่แล้ว ไปสืบชะตาต่อชีวิตอย่างเดียวคงไม่พอ ต้อง “พึ่งตนเอง” ด้วยการจัดระเบียบชีวิตใหม่ให้ดี อยู่อย่างมีเป้าหมาย มีแบบมีแผน มีการจัดการที่ดี ที่ลงตัว ที่สมดุล
*******
รวมมิตรจาก  http://www.phongphit.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อย่าผัดผ่อน

บทความที่เหมาะกับเดือนแห่งความรัก รวมมิตร นำเสนอ
อย่าผัดผ่อน
โดย รินใจ
นิตยสารสารคดี : ฉบับที่ ๓๒๓ :: มกราคม ๕๕ ปีที่ ๒

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


         พยาบาลผู้หนึ่งเล่าว่า วันนั้นเธอกำลังทำงานอยู่ น้องชายวัยรุ่นมาหาและชวนเธอคุย ทั้งสองคนสนิทกันมาก โดยเฉพาะน้องชายค่อนข้างติดพี่สาว จู่ ๆ น้องชายก็ถามพี่สาวว่า "พี่รักผมไหม ?" แต่เธอกำลังพัวพันกับงาน จึงรู้สึกรำคาญ เลยพูดตัดบทไปว่า อย่ามายุ่งได้ไหม ตอนนี้ไม่ว่าง น้องชายจึงเลิกตอแย สักพักก็ขับรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน แต่ไม่ทันถึงที่หมาย ก็ประสบอุบัติเหตุ ตายคาที่ เธอใจหายวาบทันทีที่ทราบข่าว แม้ต่อมาจะทำใจได้ที่น้องชายจากไป แต่ทุกวันนี้เธอก็ยังรู้สึกเสียใจ อดโทษตัวเองไม่ได้ว่าทำไมวันนั้นไม่บอกเขาว่า "พี่รักน้อง"
        หญิงสาวอีกรายเล่าว่า เย็นวันหนึ่งลูกพี่ลูกน้องมาขอร้องให้เธอไปนอนเป็นเพื่อน ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เธอรู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องคนนั้นมีความทุกข์ใจ แต่ตัวเธอเองมีงานต้องทำ จึงปฏิเสธไป วันรุ่งขึ้นเธอตกใจเมื่อได้ทราบข่าวว่า ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นผูกคอตายในคืนนั้นเอง เนื่องจากน้อยใจที่ถูกพี่สาวด่าว่าอย่างรุนแรง ผ่านไปหลายปีเธอก็ยังรู้สึกผิดที่ปฏิเสธคำขอของลูกพี่ลูกน้อง เหตุร้ายคงไม่เกิดขึ้นหากเธอตอบตกลงในคืนนั้น
        ความเจ็บปวดในชีวิตบางครั้งเกิดจากการที่เราละเลยที่จะทำสิ่งที่ควรทำกับคน ที่เรารัก กว่าจะรู้ตัวว่าได้ทำความผิดพลาดลงไป การณ์ก็สายเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว ทั้งสองคนที่เล่าเรื่องนี้ได้รับบทเรียนราคาแพงอย่างยิ่งว่า ควรทำดีที่สุดกับคนที่อยู่ต่อหน้าเรา หรือคนที่เรากำลังเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลผู้เป็นที่รักของเรา หาไม่แล้วก็อาจจะต้องเสียใจในภายหลังเพราะไม่มีโอกาสจะทำเช่นนั้นได้อีก
        ตอนนั้นทั้งสองคนยอมรับว่าใจกำลังนึกถึงงาน จึงไม่ได้ให้ความใส่ใจอย่างเต็มที่กับบุคคลที่กำลังสนทนาด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเห็นว่างานนั้นเป็นความรับผิดชอบที่ต้องรีบทำให้เสร็จ ส่วนเรื่องของน้องชายหรือลูกพี่ลูกน้องนั้นผัดผ่อนได้ เอาไว้คุยวันหลังก็ไม่สาย แต่ความจริงอย่างหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนอย่างยิ่ง เห็นหน้ากันอยู่หลัด ๆ ปุบปับก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ความคิดที่ว่าการปฏิบัติต่อคนที่เรารักนั้นผัดผ่อนไปวันหลังก็ได้ นับว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง เพราะเขาอาจไม่อยู่ให้เราทำดีกับเขาก็ได้
        ชายผู้หนึ่งเล่าประสบการณ์คล้าย ๆ กันว่า ระหว่างที่ทำงานต่างจังหวัด ภรรยาโทรศัพท์ทางไกลไปหาเพราะมีความในใจอยากจะสนทนาด้วย ตอนนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่แพร่หลาย ส่วนโทรศัพท์ทางไกลก็นาทีละ๑๒ บาท พอคุยกันได้สักพัก สามีก็ตัดบทว่า ถึงบ้านแล้วค่อยคุยแล้วกัน จะได้ไม่เปลืองค่าโทรศัพท์ ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นภรรยาก็เสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน สามีรู้สึกเสียใจที่ไม่ให้เวลาภรรยาเต็มที่ตั้งแต่คืนนั้น บทเรียนที่เขาได้รับก็คือ หากมีอะไรที่อยากคุย หรือมีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือ ก็ควรให้เวลาเต็มที่ตั้งแต่ตอนนั้นอย่าผัดผ่อน เพราะอาจไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีก
การทำดีกับใครก็ตาม ไม่เหมือนกับการทำงาน การทำงานนั้นมักมีเส้นตายหรือกำหนดเสร็จ ส่วนการทำดีกับผู้คนนั้นไม่มีกำหนดหมายว่าต้องทำเมื่อนั้นเมื่อนี้ (ยกเว้นวันเกิดหรือวันสำคัญตามประเพณี) ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงมักให้เวลากับการทำงานก่อนส่วนการทำดีกับคนนั้น ผัดไปวันหลังได้ เพราะคิดว่ายังมีเวลา ความคิดเช่นนี้เป็นที่มาแห่งความเสียใจและความรู้สึกผิดกับผู้คนมามากต่อมากแล้ว เพราะวันหลังอาจไม่มีจริงก็ได้ แม้แต่วันพรุ่งนี้ก็เถอะ ภาษิตธิเบตกล่าวไว้น่าคิดมากว่า "ระหว่างพรุ่งนี้กับชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่า อะไรจะมาก่อน"
        หากอยากทำดีกับใคร จึงควรรีบทำเสียแต่วันนี้ หรือขณะที่เขายังอยู่ต่อหน้าเรา ใครที่รีบทำขณะที่มีโอกาส อาจจะพบในเวลาต่อมาว่าตนตัดสินใจถูกต้องแล้ว หาไม่ก็อาจจะต้องเสียใจจนวันตาย
        นักศึกษาผู้หนึ่งไปเข้าค่ายอาสาพัฒนา ระหว่างนั้นได้ทะเลาะกับเพื่อนสนิทอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่มีสาเหตุจากเรื่องเล็กน้อย วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทำค่าย เหมือนมีอะไรมาดลใจ เขาจึงขอโทษเพื่อน วันต่อมาเขาได้กลับไปหอพัก แต่เพื่อนผู้นั้นไม่กลับหอ ผ่านไปสามวันก็ยังไม่มีวี่แววของเขา เขารู้สึกผิดสังเกตจึงไปตามหา ปรากฏว่าพบร่างไร้วิญญาณของเขาในสระเนื่องจากถูกฆาตกรรม วันที่ไปงานศพของเพื่อนนั้น พ่อของเพื่อนมากอดเขาเป็นคนแรก เขาเองก็รู้สึกดีใจได้ขอโทษเพื่อนก่อนตาย หาไม่จะรู้สึกผิดไปอีกนาน
        นอกจากการขอโทษแล้ว การแสดงความขอบคุณหรือบอกรัก โดยเฉพาะกับผู้มีพระคุณ เป็นความดีที่ไม่ควรรั้งรอ เพราะโอกาสที่เปิดมานานนั้นอาจปิดกะทันหันอย่างที่นึกไม่ถึงก็ได้ คนจำนวนไม่น้อยมักเห็นว่าการให้เวลากับคนรัก โดยเฉพาะพ่อแม่นั้นเป็นสิ่งที่รอได้ ตอนนี้ขอทำงานสะสมเงินทองก่อน แต่คนที่เสียใจจนยากแก่การไถ่ถอนเพราะคิดแบบนี้ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถอยู่รอจนถึงวันนั้นได้ แม้กระนั้นก็มีหลายคนที่พยายามฝืนกระแส ซึ่งมักลงเอยด้วยการสร้างความทุกข์ให้แก่บุพการี ดังมักปรากฏอยู่บ่อย ๆ ว่า เมื่อพ่อแม่ป่วยหนักอยู่ในระยะสุดท้าย ลูกที่ไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมหรือดูแลพ่อแม่เลย แทนที่จะปล่อยให้พ่อแม่ไปอย่างสงบ กลับเป็นผู้ที่เรียกร้องให้ยื้อชีวิตของท่านให้นานที่สุด ยอมทุ่มเทเงินมากมายเพื่อนำเทคโนโลยีนานาชนิดมาแทรกแซง ซึ่งมักสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ท่าน ทั้งนี้เพราะเขาทำใจไม่ได้ที่พ่อแม่จะจากไปโดยที่เขาไม่ทันได้ตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างเต็มที่ แต่การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ในลักษณะนั้นกลับเป็นโทษมากกว่าคุณ ใช่แต่เท่านั้นเมื่อพ่อแม่จากไป คนที่ไม่สามารถทำใจได้เศร้าโศกเสียใจเป็นปี ๆ ก็มักจะได้แก่ลูกที่ไม่มีเวลาให้แก่พ่อแม่จนมาได้คิดเมื่อสายไปแล้ว
        วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราไม่รั้งรอที่จะทำความดีกับคนรัก ผู้มีพระคุณ หรือผู้ที่อยู่ต่อหน้าเรา ก็คือ ปฏิบัติกับเขาเหล่านั้นราวกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาได้อยู่กับเรา เมื่อใดก็ตามที่เราระลึกถึงความจริงว่าพรุ่งนี้ไม่เราหรือเขาอาจจะต้องพรากจากกัน เราจะไม่เอาแต่ใจตัว ทำตามอำเภอใจ ใช้อารมณ์กับเขา หรือเพิกเฉยเขา แต่จะปฏิบัติด้วยความใส่ใจ รับฟังเขาและคำนึงถึงความรู้สึกนึกคิดต่อเขา ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เขามีความสุขเท่านั้น เราเองก็จะมีความสุขด้วยเช่นกันเพราะมีความรู้สึกดีกับเขา ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกลมกลืน อีกทั้งยังเป็นหลักประกันว่า หากพรุ่งนี้เรากับเขาต้องพรากจากกัน แม้จะมีความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่มีความรู้สึกผิดติดค้างใจ อีกทั้งยังจะมีความปลื้มปีติที่ได้ทำดีที่สุดกับเขาแล้ว
        ชีวิตนี้แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือปัจจุบันขณะ ดังนั้นหากจะทำความดีก็ควรทำเสียแต่วันนี้หรือเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่เบื้องหน้าเรา ยิ่งเป็นคนที่สำคัญต่อชีวิตเราด้วยแล้ว อย่ามัวผัดผ่อนหรือรั้งรอ เพราะโอกาสที่เราจะทำดีกับเขานั้น แม้จะมีมากมายเพียงใดในอดีต ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีมากมายในอนาคต พ้นจากวันนี้หรือเดี๋ยวนี้แล้ว โอกาสทองอาจหมดไปเลยก็ได้ ใครจะรู้ 
                              *******
รวมรักจาก http://www.visalo.org

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รักกระจิริด

   ความรักที่แท้จริง

รักกระจิริด

โดย รินใจ 

      
       สมัยนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสิเน่หาได้ดีเท่ากับกุหลาบแดง
       แต่ถ้าถอยหลัง ๒๐๐-๓๐๐ ปีก่อน หนุ่มสาวยุโรปกลับเห็นว่า มีสิ่งหนึ่งที่ให้ความรัญจวนใจยิ่งกว่ากุหลาบแดงเสียอีก เดาได้ไหมว่าสิ่งนั้นคืออะไร
      ก็ หมัด ไงล่ะ
      หมัด ที่ว่าไม่ได้หมายความว่ากำปั้น แต่เป็นแมลงที่ชอบเกาะอยู่ตามตัวหมา
      หมัด ที่ว่าไม่ได้หมายความว่ากำปั้น แต่เป็นแมลงที่ชอบเกาะอยู่ตามตัวหมา
      สมัยก่อนแมลงประเภทนี้ยังชอบเกาะอยู่ตามเนื้อตัวของผู้คนด้วย แม้แต่สาว ๆ ก็ไม่เว้น โดยเหตุที่มันชอบดูดเลือดแดง ๆ ของคนด้วย หนุ่ม ๆ จึงหมายปองตัวหมัดที่หากินอยู่กับร่างกายของสาวคนรัก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ มีหนุ่มนักรักหลายคนเกี้ยวพาราสีหญิงสาว ด้วยการเขียนบทกวีสดุดีหมัดของเจ้าหล่อน บางคนถึงกับเอาหมัดของเธอมาเลี้ยงไว้ในกรงทองที่ผูกรอบคอ และยอมให้มันดูดดื่มเลือดของเขา ด้วยความชื่นชม ที่เลือดของตน ไปผสมเป็นหนึ่งเดียวกับเลือดของเธอในตัวแมลงน้อย ในไซบีเรียว่ากันว่า สาวทอดสะพานให้เจ้าหนุ่ม ด้วยการโยนหมัดของเธอให้เขา อะไรจะโรแมนติกปานนั้น
      แต่หนุ่มสาวยุคใหม่ ฟังเรื่องนี้แล้วเห็นจะโรแมนติกไม่ลง คงผะอืดผะอม ทำนองเดียวกับเวลาที่เห็นพ่อมาก แสดงความรัญจวนใจต่อนางนาก ในหนังของนนทรีย์ นิมิบุตร ด้วยการเอาหมากจากปากของเธอมาเคี้ยวอย่างดูดดื่ม ที่จริงพ่อมากและนางนาก ก็คงจะผะอืดผะอมไม่แพ้กัน หากรู้ว่าคู่รักสมัยนี้ แสดงความรักด้วยการเอาปากประกบกัน และดูดน้ำลายของกันและกัน
      ความรักนั้นเป็นเรื่องนานาจิตตัง ทำนองลางเนื้อชอบลางยา สิ่งที่ยังความรัญจวนใจแก่เราอาจสร้างความรู้สึกตรงกันข้ามแก่ผู้อื่น ซึ่งอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง หรืออยู่ในอีกวัฒนธรรมหนึ่งในทางกลับกัน คนสมัยก่อนเขาอาจพิศวาสในสิ่งซึ่งคนสมัยนี้รังเกียจ คงไม่ลืมกันว่าเท้าของหญิงสาวที่ถูกรัดจนเบี้ยวบิดผิดรูปนั้น ในสายตาของชายจีน เมื่อหลายร้อยปีก่อน ถือว่าเป็นเสน่ห์เย้ายวนของหญิงสาวอย่างยิ่ง แต่คนยุคนี้เห็นแล้วพูดไม่ออก
       อย่างไรก็ตาม ความรักไม่ว่าชาติใดภาษาใด จะยุคไหนก็แล้วแต่ ล้วนมีภาษาสากลร่วมกัน ภาษานั้นมีชื่อว่า "การให้" แม้วัตถุที่ยังความสิเน่หาจะมีรูปลักษณ์ต่างกัน แต่เนื้อแท้ของความรักที่แสดงออกมานั้นคือการให้เสมอ และเป็นการให้สิ่งที่ตนเห็นว่ามีคุณค่าต่อทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าคิดว่า จะเอาอย่างเดียว นั่นเป็นได้อย่างมากแค่สิเน่หาอันว่างเปล่าปราศจากแก่นสาร

      การให้อย่างมีคุณค่านั้น ไม่จำเป็นต้องหมายถึง การให้สิ่งซึ่งมีราคาค่างวด หรือให้สิ่งใหญ่โต ทั้งไม่ใช่การเสียสละเยี่ยงวีรกรรมเสมอไป เพียงแค่ให้ความสนใจ ก็สามารถยังความสุขใจให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งก็พลอยทำให้เรามีความสุขไปด้วย "ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข" คือสัจธรรมสากลที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้นานแล้ว
      ความใส่ใจนั้นทรงคุณค่าเสมอ แม้จะเป็นความใส่ใจ ในเรื่องที่เราเห็นว่าเล็กน้อย แต่สำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง อาจเป็นเรื่องสำคัญก็ได้ เช่น ความใส่ใจในยามที่เขาหรือเธอเงียบงันหรือรู้สึกหม่นหมอง แม้แต่ในยามที่ประสบความสำเร็จ เขาหรือเธอก็ปรารถนาที่จะมาร่วมรับรู้ความภาคภูมิใจของตนด้วยเช่นกัน
      ความใส่ใจนั้นช่วยให้เราเอื้อเฟื้อต่อกันอย่างจริงใจและเป็นธรรมชาติ อันความเอื้อเฟื้อนั้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็อย่านึกว่าไม่มีความหมาย อย่าว่าแต่กับคนรักเลย แม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ความมีน้ำใจเรื่องเล็กน้อยก็ยังสามารถตราตรึงใจได้ไม่รู้ลืม หากย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ประทับใจในอดีต เราแต่ละคนคงจำได้อย่างชัดเจนถึงความเอื้อเฟื้อของใครบางคนที่เราไม่รู้จัก แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว เขาอาจไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า พาเราข้ามถนน ลุกให้เรานั่ง หรือประคองเราให้ลุกขึ้นหลังจากที่พลัดหกล้ม
      มิใช่แต่ความเอื้อเฟื้อที่ได้รับในวัยเด็กเท่านั้น กระทั่งเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังมีเรื่องประทับใจทำนองนี้อยู่มากมายมิใช่หรือ บางคนยังจำได้ดีว่ายามหลงทางหรือตกเครื่องบินในต่างแดน น้ำใจของคนแปลกหน้าบางคน ได้ช่วยคลายทุกข์ให้แก่เราอย่างไรบ้าง เธอผู้นั้นอาจเป็นพนักงานสายการบิน ที่ช่วยแก้ปัญหาให้เราอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส เขาอาจเป็นอาสาสมัคร ที่เพียรพยายามอธิบายช่วยเหลือเราทางโทรศัพท์ โดยไม่แสดงความหงุดหงิด ที่เราขอให้เขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื่องจากข้อจำกัดทางภาษา
      ในชีวิตจริงของคนเรา โดยเฉพาะในยามที่เราสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกันนั้น ความใส่ใจและน้ำใจในเรื่องเล็กน้อยนั้นเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เสมอ มันอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเรา แต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะในยามที่เขากำลังเดือดร้อนหวาดวิตก ทุกข์โศก กังวลใจ ในยามนั้นคนเราอ่อนไหวและเปราะบางมาก ไม่ว่าจะเก่งกล้ามาจากไหนก็ตาม ในยามนั้นความเอื้อเฟื้อแม้เพียงเล็กน้อย กลับกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ประทับใจเขาไม่รู้ลืม

      ความรักที่แท้จริง บ่อยครั้งก็แปลงกายมาในรูปกระจิริด เหมือนตัวหมัดยังไงยังงั้นเลย 
                                                                   ******* 
รวมความรักจาก http://www.khonnaruk.com

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รักคนไกล ระอาคนใกล้

รักคนไกล ระอาคนใกล้
 ภาวัน

“แอม” เสาวลักษณ์ ลีละบุตร เล่าว่าได้พบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากการไปปลูกป่า หน้าตาของเธอเบิกบานด้วยความปีติที่ได้ช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ เธอพรรณนาถึงคุณประโยชน์มากมายของการปลูกป่า ทั้งบรรเทาโลกร้อน เพิ่มออกซิเจน ให้ร่มเงา ปกป้องหน้าดิน และช่วยให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ฯลฯ เธอยังเล่าถึงนักปลูกป่าอย่าง ด.ต.วิชัย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมาย 


       “ดีจังเลย” แอมยินดีกับเพื่อน “ตอนนี้เธอปลูกต้นไม้ที่บ้านเยอะเลยซีท่า”
      เพื่อนทำหน้าเซ็งทันทีแล้วตอบว่า “โอ๊ย ใครจะไปกวาดใบไม้ไหว ร่วงอยู่ได้ เลยตัดทิ้งไปแล้ว” รักป่ารักต้นไม้ทั่วทั้งโลกนั้น บางครั้งกลับง่ายกว่ารักต้นไม้ในบ้าน เราพร้อมจะไปปลูกป่าทั่วทุกหนแห่ง แต่คร้านที่จะดูแลต้นไม้ในบ้าน ปลูกป่านอกบ้านไม่ใช่เรื่องยาก แค่หย่อนกล้าไม้ลงหลุมแล้วกลบ จากนั้นก็กลับบ้านได้เลย แต่ปลูกต้นไม้ที่บ้านสิ เรายังต้องรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยนานนับปี ครั้นต้นไม้เติบโตสูงใหญ่ ก็ยังต้องเสียเวลากวาดใบไม้ร่วงไม่หยุดหย่อน วันดีคืนดีกิ่งไม้อาจตกมากระแทกหลังคาเป็นรู
       เป็นเพราะต้นไม้นอกบ้านให้แต่สิ่งดี ๆ มีแต่สิ่งที่น่าชื่นชม ไม่เป็นภาระแก่เราเลย เราจึงรักเขาได้ง่าย ส่วนต้นไม้ในบ้านนั้นเรียกร้องการดูแลเอาใจใส่จากเรา แถมยังอาจก่อปัญหาให้ด้วย หลายคนจึงมองเห็นแต่ข้อเสียของเขา จนรู้สึกระอาขึ้นมา
      เป็นเพราะเหตุผลเดียวกันนี้หรือเปล่า ผู้คนเป็นอันมากจึงรักและชื่นชมคนอื่นได้ง่ายกว่าคนในบ้าน เราเห็นแต่ความดีของคนไกลตัวเพราะเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลย ส่วนคนในบ้านนั้นอยู่ใกล้กับเรามากเกินไปจึงเห็นแต่ข้อเสียของเขา หรือเห็นเขาเป็นภาระที่ต้องดูแลเอาใจใส่จนกลบข้อดีของเขาไปเกือบหมด ผลก็คือเรามักสุภาพอ่อนโยนกับคนไกล แต่มึนตึงฉุนเฉียวง่ายมากกับคนใกล้ตัว
        ลองมองให้เห็นคุณประโยชน์หรือความดีของต้นไม้ในบ้านบ้าง เราอาจจะรักเขาได้ง่ายขึ้น หลายคนมาเห็นประโยชน์ของต้นไม้ในบ้านก็หลังจากที่โค่นจนเหลือแต่ตอ แต่นั่นก็สายไปแล้ว จะไม่ดีกว่าหรือหากเรารู้จักชื่นชมเขาขณะที่ยังอยู่กับเรา
      กับคนในบ้านก็เช่นกัน เราควรหัดชื่นชมคุณความดีของเขาบ้าง ที่แล้วมาเราอาจมองข้ามไปเพราะคุ้นชินความดีที่เขาทำกับเราจนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพลงที่แสนไพเราะ หากได้ฟังทุกวันทุกคืนก็กลายเป็นเพลงดาษ ๆ ไม่มีเสน่ห์สำหรับเรา ฉันใดก็ฉันนั้น คำพูดที่ไพเราะของภรรยา น้ำใจของสามี หรือความใส่ใจของพ่อแม่ หากเราได้ยินได้ฟังหรือได้รับติดต่อกันเป็นปี ๆ หรือนานนับสิบปี ก็กลับกลายเป็นสิ่งสามัญจนเรามองไม่เห็นความสำคัญ ไม่ต่างจากอากาศที่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าทั้ง ๆ ที่ขาดมันไม่ได้เลย
        น่าแปลกก็ตรงที่หากคนใกล้ตัวทำผิดพลาดหรือสร้างความไม่พอใจแก่เรา แม้เพียงครั้งเดียว การกระทำนั้น ๆ กลับฝังใจเราได้นานหรือลึกกว่าความดีที่เขาทำกับเรานับร้อยนับพันครั้ง ใช่หรือไม่ว่าเวลาเขาทำดีกับเรา เรามองว่านั่นเป็น “หน้าที่ของเขา” หรือเป็น “สิทธิที่เราควรได้รับ”แต่เมื่อใดที่เขาทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราไม่พอใจ เรากลับมองว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น “สิ่งที่ไม่สมควร” เป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา” ดังนั้นจึงฝังใจเราได้ง่ายกว่า อันที่จริงเขาอาจไม่ได้ทำผิดพลาดเกินวิสัยปุถุชน แต่ความที่เรามักจะมีความคาดหวังสูงจากคนใกล้ชิด ความผิดพลาดของเขาแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เราหัวเสีย ขุ่นเคือง หรือน้อยเนื้อต่ำใจได้ง่ายและนาน
      คนในบ้านหรือคนใกล้ตัวนั้น ไม่ว่าจะดีแสนดีเพียงใด ก็ย่อมมีวันที่ต้องกระทบกระทั่งกับเราบ้าง แต่หากเราไม่ฝังใจอยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้น หันมามองและชื่นชมคุณความดีของเขา เปิดใจรับรู้ความรักที่เขามีต่อเรา เราจะรักเขาได้ง่ายขึ้น และตระหนักว่าเขามีความสำคัญต่อชีวิตของเรายิ่งกว่าคนไกลตัวเสียอีก อย่ารอให้เขาจากไปเสียก่อนถึงค่อยมาเห็นคุณค่าของเขา ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว
       อะไรก็ตามยิ่งอยู่ใกล้ตัวมากเท่าไร เราย่อมหน่ายแหนงและระอาได้ง่ายมากเท่านั้น เพราะใจที่ชอบเห็นแต่แง่ลบมากกว่าแง่บวก มิใช่แค่ต้นไม้ในบ้าน หรือคนในบ้านเท่านั้น หากยังรวมถึงทรัพย์สมบัติในบ้านด้วย แต่นั่นยังไม่ใกล้เท่ากับร่างกายและจิตใจของเราเอง ไม่ว่าสวยเท่าใดก็ยังเห็นแต่ความไม่งามของตัวเอง ไม่ว่าจะทำดีเพียงใดก็ยังเห็นแต่ตัวเองในแง่ร้าย คนที่เกลียดตัวเองนั้นทุกวันนี้มีมากมาย ยิ่งรักก็ยิ่งเกลียดเพราะไม่ดีอย่างที่หวัง ยิ่งยึดติดคาดหวังกับความสมบูรณ์พร้อม ก็ยิ่งเห็นแต่ความพร่องของตนเอง
      ลองมองให้เห็นความดีของตัวเองบ้าง ให้อภัยกับความผิดพลาด ยอมรับความไม่สมบูรณ์พร้อม ใช้สิ่งที่มีอยู่แม้น้อยนิดเพื่อการสร้างสรรค์สิ่งดีงาม แล้วคุณจะรักตัวเองได้มากขึ้น
*******
รวมรักจาก http://www.visalo.org

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เกษตร 3 ยิ้ม ธงชัยนำไทยสู่อาเซี่ยน

       เกษตรปราณีต-1-ไร่ไม่แพ้
จาก เกษตรกร.คอม



       เราต้องคิดว่า เราคือ ผู้แพ้สงครามเกษตรเชิงเดี่ยว ใช้สารเคมีจนดินเสื่อมหมดแล้ว เป็นหนี้สินพ้น   ตัว หนีมาพื้นแผ่นดินใหม่ มีพริก มะเขือ ผักชนิดต่าง ๆ ไก่บ้าน ปลาในบ่อ เป็นพลทหาร จะระดมพลออกรบเมื่อไหร่ก็ได้มีพืชสมุนไพร ผักพื้นบ้านเป็นยา ใช้รักษายามเจ็บไข้ มีลูกยอ กล้วย เป็นนายสิบ มีไผ่เป็นนายร้อย มียางนา ตะเคียนทอง เป็นนายพัน นายพล โดยมีเจ้าของสวนเป็นจอมทัพ สะสมกำลังอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ เพียงหนึ่งไร่ ไม่ต้องหวังรำรวย เอาแค่พออยู่พอกิน หวังสร้างทรัพย์สินทางปัญญาเป็นมรดกให้ลูกหลาน ทำอย่างนี้เท่านั้น ที่จะนำพาชีวิตครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติไปสู่ชัยชนะได้”
        นี่คือ คำพูดของพ่อคำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้าน แห่งอำเภอแดนดง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่เปรียบเปรยให้เห็นถึงแนวทางการทำเกษตรปราณีตหนึ่งไร่ ซึ่งรัฐบาลชูให้เป็นแนวทางหนึ่งของการแก้ไขปัญหาความยากจน
        พ่อคำเดื่อง เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะทำเกษตรปราณีตหนึ่งไร่ ก็ทำเกษตรธรรมชาติในพื้นที่ 50 ไร่ มาก่อน ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก ตั้งแต่การปลูกไผ่ ขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกพืชนานาชนิด ซึ่งชีวิตก็อยู่ได้อย่างมีความสุข
       “ช่วงนี้สถานการณ์ด้านหนี้สิน และความล้มเหลวจากเกษตรเชิงเดี่ยวมันรุนแรงขึ้น ก็มาคิดว่า จะทำอย่างไรให้คนที่จะหนีจากวงจรอุบาตของเกษตรเคมี ได้เห็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น ครั้นจะให้ดูการทำในพื้นที่ขนาดใหญ่ บางคนก็ท้อ ทำไม่ไหวแน่ ๆ ก็มาคิดถึงการทำเกษตรปราณีต 1 ไร่”
       “ใครมีพื้นที่เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ก็ให้กัน 1 ไร่ มาทำเกษตรปราณีต โดยคนที่จะเข้าสู่โครงการเกษตรปราณีตจะต้องมีการปรับตัวจัดการใน 4 แนวทางด้วยกัน”
   ประการแรก ต้องปรับแนวคิดเสียใหม่ ในทุก ๆ เรื่อง ทั้งแนวคิดการทำเกษตรที่พึ่งพาทางธรรมชาติ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่พึ่งการตลาด ปรับชีวิตให้พออยู่พอกิน ไม่หวังผลอย่างรวดเร็ว และอีกหลาย ๆ อย่าง
        พ่อคำเดื่อง บอกว่า การปรับแนวคิดนี้สำคัญที่สุด และทำยากที่สุด เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านถึงกับตั้งเป็นไฟท์บังคับที่จะต้องทำเราเรียกว่า การอบรม “วปอ. ภาคประชาชน” เน้นหนักไปในทางปรับแนวคิดด้านการเกษตรก่อนลงมือทำ แต่ถ้าใครปรับได้ก็จะเกิดแรงบังดาลใจ ทำงานอย่างแข็งขัน ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
         ประการถัดมา ต้องจัดการกับความรู้ด้านดิน น้ำ และพืชเสียใหม่ ความรู้สมัยใหม่ที่เราหลงไหลมานาน มักจะบอกว่า การปลูกพืชแต่ละต้นต้องมีระยะห่าง ต้องดายหญ้า ต้องอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่ที่ธรรมชาติสอนเรานั้น บอกว่าไม่ต้องถึงขนาดนั้น สมมติว่า เราปลูกกล้วย โคนกล้วย เราก็ปลูกพริก
        ปลูกมะเขือ หรือปลูกไม้ยืนต้นอย่างตะเคียนทอง ยางนา ฯลฯ พืชแต่ละอย่างป้องกันแดดให้กันและกัน ดูดน้ำและธาตุอาหารที่ต่างกัน และยังเป็นการจัดการที่ดินทุกตารางนิ้ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
        “อย่างเรารดน้ำลงไป พวกพริก มะเขือ มีรากอยู่ผิวดิน ก็จะดูดน้ำผิวดินไปใช้ ก่อนที่น้ำจะซึมไปให้พวกตะเคียนทองได้ดูดกิน พวกหญ้าก็เหมือนกันไม่ต้องถอน มันไม่ได้แย่งอาหารหรอก แต่จะป้องกันไม่ให้น้ำระเหยเร็วกว่าปกติ เวลาตายก็กลายเป็นปุ๋ยอีก” พ่อคำเดื่องแจงเรื่องการจัดการน้ำให้ฟัง
        เกษตรปราณีต 1 ไร่ ดำเนินงานโดยชาวบ้านเครือข่ายภูมิปัญญาไทย สนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
        ปราชญ์จากบุรีรัมย์ เล่าอีกว่า นอกจากนี้ เรื่องสมุนไพรและผักพื้นบ้านเป็นเรื่องที่เราคำนึงถึงเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ คนรู้จักผักไม่กี่ชนิด เฉพาะที่วางจำหน่ายในห้าง ซึ่งไม่ค่อยแน่ใจเรื่องความปลอดภัย แต่ที่นี่ทุกอย่างปลอดภัย เพราะเราปลูกเอง เราปลูกแบบธรรมชาติ
     พ่อคำเดื่อง ชี้ไปที่ต้นยางนา และตะเคียนทอง แล้วพูดว่า “มีคนอาชีพไหนบ้างที่กล้าพูดว่า ในอนาคตลูกหลานจะมีบ้านที่สร้างจากไม้ตะเคียนทอง แต่เราพูดได้ เพราะเราปลูกมันขึ้นมาเอง มีใครบ้างที่กล้าพูดว่า ได้สร้างอนาคตที่มั่นคงปลอดภัยให้กับลูกหลาน แต่พวกเราที่ทำเกษตรปราณีตหนึ่งไร่กล้าพูด”
       ด้านนายสำเริง เย็นรัมย์ ชี้ให้ดูพืชนานาชนิดในแปลงเกษตรปราณีต ที่ตนลงแรงมาร่วมปีกว่า พื้นที่รอบ ๆ สระจะปลูกผักบุ้ง และพืชพื้นบ้าน ถัดมาก็ปลูกมะระ ผักหวาน กล้วย และพืชต่าง ๆ อีกหลายชนิด ทุกวันจะขายผักได้วันละไม่ต่ำกว่า 300 บาท โดยมีคนมารับซื้อถึงสวน และยังมีตลาดปลอดสารพิษในหมู่บ้านอีกด้วย
        “เมื่อก่อนตนเป็นคนกินเหล้า ดูดบุหรี่ แต่พอหันมาทำเกษตรปราณีต ทำงานอย่างเพลิดเพลิน จนลืมดูดบุหรี่ไปเลย ตอนนี้ก็เลิกได้แล้ว ตอนเช้าลูก เมีย ก็มาช่วยเก็บผัก พูดคุยกันอย่างมีความสุข ผมว่ามีน้อยคนที่มีความสุขเท่าผม”
        “อยากให้ลูกหลานคนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ก็บอกลูกให้ชวนเพื่อน ๆ นักเรียนมาเที่ยวที่สวน ก็มากันครั้งละหลายคน มาตกปลาในบ่อ ปิ้งปลา ตำส้มตำกินกัน แล้วแจกพันธุ์ไม้ให้ทุกคนไปปลูกที่บ้าน เราตั้งใจว่า เด็ก ๆ จะกลับไปชวนพ่อแม่หันมาทำเกษตรปราณีต”
ส่วนนางกตัญชลี เกล้าพิมพ์ เล่าว่าเมื่อก่อนตนกับสามี ทำงานรับจ้างอยู่ในโรงงาน ทำถุงมือในตัวเมือง มีรายได้รวมกันตกเดือนละเกือบ 20,000 บาท แต่ก็หมดไปกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งกินอยู่ ค่าเช่าบ้าน ฯลฯ ก็เลยกลับมาอยู่บ้าน พร้อมหนี้สินติดตัวร่วม 200,000 บาท
       “ทราบข่าวว่า เขามีการอบรม วปอ. ภาคประชาชน ก็เข้าไปอบรมกับเขาด้วย พออบรบเสร็จก็ลงมือทำเลย จำได้ว่า ตอนนั้นฟิตมากถึงกับไปขุดยางนา ตอนกลางคืน เพื่อนำมาปลูก แรก ๆ ก็ปลูกในพื้นที่หนึ่งงานรอบ ๆ บ้าน ตอนหลังก็หันมาทำปราณีตหนึ่งไร่ ปลูกทุกอย่างทั้งผัก ชนิดต่างๆ พืชบ้าน กล้วย ไม้ยืนต้น พวกยางนา ตะเคียนทอง ตอนนี้พืชล้มลุกให้ผลผลิตแล้วหลายรุ่น อีกทั้งยังมีรายได้จากการเพาะชำยางนาและพืชต่าง ๆ ขาย สามารถนำเงินไปปลดหนี้ได้แล้วแสนกว่าบาท คาดว่า หนี้ที่เหลือจะหมดในไม่ช้านี้”
        พ่อคำเดื่อง เล่าเพิ่มเติมอีกว่า แนวทางการทำเกษตรปราณีต เป็นการหันไปหาปัญญาดั้งเดิม ต้องเร่งทำในตอนนี้ หากคนรุ่นเราล้มหายตายจาก ก็จะไม่มีมรดกด้านความรู้ ตกทอดถึงลูกหลาน ตอนนี้เรามีแปลงนำร่อง 250 แปลง ทั่วทั้งภาคอีสาน ทุกเดือนเราจะประชุมกัน แลกเปลี่ยนความรู้กัน นำพันธุ์ไม้แปลก ๆ มาแลกกัน เราจึงได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
        เรื่องนี้ต้องทำให้เป็นกระแส เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2560 ทั่วทั้งภาคอีสาน น่าจะมีพื้นที่เกษตรปราณีต 1 ล้านครอบครัว หรือประมาณหนึ่งใน 10 ของประชากรในภาคอีสาน
       “ไม่น่าเชื่อว่า ทรัพยากรทุกอย่างที่สั่งสมมานับล้าน ๆ ปี ไม่ว่า ดิน น้ำ ป่า แร่ต่าง ๆ ถูกใช้หมดโดยคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วง 100 ปีนี้เอง ไม่ค่อยมีคนคิดถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ว่าจะอยู่กันอย่างไร ดังนั้น ที่เรามาทำเกษตรปราณีต 1 ไร่ เท่ากับ เรามาร่วมกันสร้างมรดกให้กับลูกหลาน ทั้งมรดกความรู้ด้านการเกษตร ความรู้ด้านด้านการครองตนที่ดินที่สมบูรณ์ และวิถีชีวิตที่ดีงาม 
*******
http://www.kasedtakon.com